Crypto Glossary
FUD (Fear, Uncertainty and Doubt)
FUD คือคำศัพท์ในวงการการลงทุน โดยเป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Fear Uncertainty และ Doubt ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกการลงทุนรวมไปถึงวงการคริปโตเคอร์เรนซี
FUD คืออะไร?
FUD คือคำศัพท์ในวงการการลงทุน โดยเป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Fear Uncertainty และ Doubt ที่เรียกได้ว่าเป็นคำกริยาที่ใช้เรียกทั้งพฤติกรรมสำหรับฝั่งนักลงทุน และการวางกลยุทธ์ขั้นเทพสำหรับการทำให้นักลงทุนในตลาดเกิดความกลัว ความสงสัย และเกิดความไม่แน่ใจในการลงทุน
รวม ๆ แล้วอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในหลักการจิตวิทยาที่ใช้เพื่อทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบกับฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่งโดยการใช้ข้อมูลต่าง ๆ มาสร้างข่าวให้เกิดความหวาดกลัว จนนักลงทุนต่างเริ่มเทขายสินทรัพย์ เมื่อราคาถูกลงเหล่านักลงทุนหลายใหญ่หรือคนที่สร้าง FUD ก็จะสามารถเข้ามาช้อนซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาถูก
ตรงกันข้ามกับความกลัวแบบ FOMO (Fear of Missing Out) เพราะคนที่เกิดอาการ FOMO นั้น มักจะเป็นความกลัวที่จะพลาดโอกาสดี ๆ หรือไม่อยากตกเทรนด์ข่าวที่กำลังเป็นกระแส เช่น กลัวที่จะเข้ามาลงทุนไม่ทันก่อนที่ราคาสินทรัพย์จะพุ่งขึ้น เป็นต้น
FUD ย่อมาจากคำว่าอะไร?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า FUD คือคำที่ย่อมาจาก Fear Uncertainty และ Doubt โดยแต่ละคำนั้นมีความหมายดังต่อไปนี้
- Fear แปลว่า ความกลัว
- Uncertainty แปลว่า ความไม่แน่นอน
- Doubt แปลว่า ความสงสัย
ดังนั้นเมื่อนำทั้งสามคำนี้มารวมกันจึงเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ที่เรียกว่า FUD และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกการลงทุนรวมไปถึงวงการคริปโตเคอร์เรนซี
FUD ในวงการคริปโตเคอร์เรนซี
ในวงการคริปโตเคอร์เรนซีนั้นบางครั้งเรามักจะพบกระแสข่าวเชิงลบที่ถูกปล่อยออกมาบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้นักลงทุนเกิดอาการ FUD ขึ้นมาได้ หรือเกิดความตื่นตระหนกตกใจ และนำไปสู่การขายเหรียญทิ้งโดยไม่จำเป็น และอาจทำให้ราคาเหรียญในตลาดลดลง ดังนั้นผู้ที่สนใจลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีควรศึกษาข้อมูลเหรียญต่าง ๆ และรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนทุกครั้ง
ตัวอย่างการใช้คำว่า FUD ในวงการคริปโตเคอร์เรนซี
FUD เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สามารถทำให้ตลาดคริปโตเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่มีข่าวว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เซ็นร่างกฎหมายการตรวจสอบการทำธุรกรรม และการเก็บภาษีคริปโตเคอร์เรนซี โดยประเด็นนี้ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน และส่งผลให้ราคาเหรียญในตลาดคริปโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในเวลานั้นเหรียญ Bitcoin ได้มีราคาร่วงลงไปประมาณ 8% รวมไปถึง Ethereum เองก็ราคาตกลงไปราว 7% เลยทีเดียว